สวัสดีค่ะทุกๆคน

ฉันชื่อปริญญา ตั้งแต่เด็กๆ ฉันไม่เคยมีเพื่อนผู้หญิงที่ชื่อปริญญาเลยซักคน ในทางกลับกันฉันมักมีเพื่อนผู้ชายชื่อปริญญา เยอะแยะ ทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า เอ..แม่ฉันอยากให้ฉันเกิดเป็นผู้ชายรึเปล่า จึงตั้งชื่อฉันอย่างนี้ แต่ฉันก็ชอบชื่อนี้นะ เพราะว่ามันทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันมีความห้าวหาญไม่แพ้ผู้ชายอกสามศอกทีเดียวเชียว

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

P2N Pizza and Bekery

P2N เป็นร้านพิซซ่าและขายอาหารสไตล์อิตาเลี่ยน รวมถึงอาหารไทยและเบเกอรี่ ร้านตั้งอยู่ซ้ายมือ ริมถ.เพชรเกษม ก่อนจะถึงอ.ทับสะแก ป้ายร้านขนาดใหญ่มองเห็นชัดมากรับรองหาเจอแน่นอนค่ะ


บรรยากาศด้านนอกร้าน แต่งสวนได้อย่างสวยงาม ร่มรื่น และน่านั่งมากๆ ลูกค้าสามารถเลือกนั่งด้านในร้านที่เป็นห้องแอร์หรือจะนั่งด้านนอก ใกล้กับสวนสวยๆก็ได้ แล้วแต่ความชอบ ห้องน้ำสะอาดสุดๆ แถมมีห้องน้ำสำหรับเด็กอีกด้วยน่ารักจริงๆ และที่ขาดไม่ได้คือรสชาติอาหาร ที่อร่อยแถมราคาไม่แพงอีกด้วยล่ะ

สปาเก็ตตี้ปลาเค็ม อร่อยค่ะ โดนลูกชายแย่งกินเกือบหมดจาน

ขนมปังกระเทียม หอมและกรอบอร่อยมากกกก


ยำตะไคร้กุ้งสด รสชาติจัดจ้านกำลังดี ตะไคร้ก็อ่อนเคี้ยวไม่มีเหนียว แถมให้เม็ดมะม่วงเยอะแบบไม่หวงเลย


เค้กน่ากินหลากหลายชนิดที่โชว์ตัวอยู่ในตู้ ช่างน่ากินมากมาย จนต้องสั่งมาคนละชิ้น


วันที่ไปสั่งอาหาร 5 อย่าง พายกรอบ 1 กล่องและเค้ก อีก 3 ชิ้น รวมราคาแค่ 500 กว่าบาทเท่านั้นเอง ขากลับอยากจะแวะกลับไปทานอีก แต่ว่ามาถึงร้านเร็วไป ยังอิ่มจากอาหารเช้าอยู่ เลยจำใจต้องผ่านร้านไปด้วยใจระเหี่ย ตั้งปณิธานไว้ว่า ถ้ามาประจวบฯคราวหน้าจะต้องแวะมาชิมพิซซ่าร้านนี้ให้ได้


เยี่ยม!! ไปเลยครับแม่



พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหว้ากอ Waghor Aquarium

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหว้ากอ ตั้งอยู่ที่ ต.คลองวาฬ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จัดแสดงสัตว์น้ำหลากหลายชนิดทั้งน้ำจืด และน้ำเค็ม


การเดินทางเข้าสู่อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ ทำได้โดยขับถไปตามถนนเพชรเกษม จากสี่แยกประจวบฯ ลงไปทางใต้ อีกประมาณ 16 กิโลเมตร จนถึงหลักกิโลเมตรที่ 335 เลี้ยวซ้ายเข้าสู่บ้านหว้าโทน ขับตามทางเข้ามาอีกประมาณ 3.5 กิโลเมตร และข้ามทางรถไฟเข้าสู่อุทยานฯ หรือ จากสี่แยกประจวบฯ หลักกิโลเมตรที่ 323 เลี้ยวซ้ายเข้าตัวเมืองประจวบฯ ขับรถตามถนนสละชีพ ผ่านกองบิน 5 (อ่าวมะนาว) จนถึงศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ (แยกไฟแดงคลองวาฬ) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่หมู่บ้านคลองวาฬ ขับรถตามทางจนถึงอุทยานฯ (เส้นทางจากกองบิน 5 - อุทยานฯ ประมาณ 10 กม.) ซึ่งระหว่างทางก็จะมีป้ายบอกทางตลอด รับรองว่าไม่หลงแน่นอนค่ะ


พิพิธภัณฑ์เปิดให้บริการทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ โดยเปิดตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. ค่าเข้าชมสำหรับเด็ก 10 บาท(สูงไม่เกิน 120 เซนติเมตร), ผู้ใหญ่ 20 บาท แต่วันที่ไปเค้าคิดแต่ของผู้ใหญ่ เด็กให้เข้าฟรีค่ะ ใจดีจัง
พอเข้าไปส่วนแรก ก็จะมีการจัดแสดงพันธุ์ปลาน้ำจืด ซึางหลายๆชนิดก็ดูคุ้นตา พบเห็นได้ตามตลาด เช่นปลาตะเพียน ปลาสวาย บางชนิดไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ เคยเห็นเฉพาะเนื้อมัน ได้แก่ ป
ลากราย ก็มีจัดแสดงให้ได้ดูกันด้วย
ถัดจากโซนปลาน้ำจืดก็จะมีปลาที่อยู่ตามป่าชายเลน แล้วก็ต่อด้วยปลาน้ำเค็ม ก็มีหน้าคุ้นๆอยู่หลายตัวเลยค่ะทั้งปลาเก๋า ปลาปักเป้า ปลามังกร แล้วก็อีกมากมาย เยอะไม่แพ้ที่ม.บูรพาเลยที่เดียว แต่ไม่มีปลาหมึก แล้วก็ม้าน้ำนะ อื่นๆก็คล้ายกันกับที่ม.บูรพาค่ะ

และที่นี่ยังมีแท็งค์ปลาขนาดใหญ่ ที่มีปลาขนาดยักษ์และฉลามนักล่าแห่งท้องทะเล ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่เด็กๆเป็นอย่างมาก โดยลักษณะของแท้งค์มีทางลาดวนรอบแท็งค์จากชั้นบนลงมาชั้นล่าง ความสูงประมาณตึกสองชั้นได้ คล้ายกับ โอซาก้า อะควอเรี่ยม เลย แต่เล็กกว่าและค่าเข้าชมถูกกว่ามากกกกกกก

นอกจากนี้ยังมีอุโมงค์ปลาให้ได้เดินดูปลาจากด้านล่าง คล้ายกับเดินอยู่ใต้ท้องทะเลทีเดียว แม้ว่าอุโมงค์จะไม่ยาวนัก แต่ก็มีปลาเยอะพอสมควร สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวได้ไม่น้อยเลย


ด้านนอกยังมีอ่างน้ำให้สามารถดูปลาดาว และปลาการ์ตูนได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วยนะคะ ไม่แน่ใจว่าเค้าอนุญาตให้จับได้รึเปล่า แต่คุณลูกชายก็เอามือไปกวนในอ่างเรียบร้อยแล้ว หวังว่าปลาเค้าจะไม่ตายนะคะ

หากใครพอมีเวลาสามารถแวะไปเที่ยวชมกันได้นะคะ ข้อดีของที่นี่คือราคาไม่แพง คนเข้าชมน้อย ไม่ต้องเบียดเสียดยัดเยียดกัน และปลาเค้าก้เยอะ หลากหลายไม่แพ้ที่อื่น (ที่แพงกว่านี้) แถมยังมีจุดอื่นๆภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ให้เข้าชมได้อีกนะคะ เช่นอาคารดาราศาสตร์และอวกาศ ซึ่งจัดแสดงนิทรรศการด้านดาราศาสตร์ให้ได้ชมกันด้วย น่าจะเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เด็กๆน่าจะชอบค่ะ

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

ไส้กรอกเยอรมัน ตอนที่ 2

ไส้กรอกเยอรมัน สวนผึ้ง ในที่สุดก็มีโอกาสได้กลับไป และได้ลิ้มลองรสชาติกันสักที ใครยังไม่เคยไปลิ้มลองก็ขอเชิญตามมาดูลาดเลากันก่อนได้นะคะ
หลังจากที่ปีนบันไดสูงเสียดเขาขึ้นมาถึงด้านบนได้ ก็จะได้พบกับรางวัลอย่างแรก ในฐานะที่มีความพยายามปีนบันไดขึ้นมาได้สำเร็จ นั่นก็คือดอกไม้ โดยเฉพาะกล้วยไม้หลากหลายพันธุ์ ที่แข่งขันกันออกดอกอวดโฉมให้แก่ผู้มาเยือนได้ชม

เมื่อขึ้นไปถึง คราวนี้ก็ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง รีบสั่งอาหารทันที ซึ่งตอนแรกเราจะสั่ง 2 อย่าง คือขาหมูเยอรมัน และไส้กรอก แต่พี่ที่เป็นภรรยาเจ้าของร้านแนะนำว่าให้สั่งเฉพาะขาหมูก่อน เพราะขาใหญ่มาก เป็นห่วงว่าจะกินกันไม่หมด (แปลกดีแฮะ ลูกค้าจะสั่งเพิ่มกลับบอกว่าอย่าเพิ่งสั่ง ) เราก็เลยเชื่อ เลยสั่งไปอย่างเดียวก่อน
รอไม่นานก็ได้อาหารที่สั่ง เจ้าของร้านจะบอกว่าอาหารได้แล้ว แล้วเราก็ต้องไปยกมาเอง พร้อมกับจ่ายเงินให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงยกมาที่โต๊ะ


นี่ไงครับ น่ากินมั้ย ขาหมูจะเสิร์ฟมาพร้อมกับผักนานาชนิด และผักดอง ส่วนจานของเราพิเศษ คือมีมะเขือเทศที่เก็บสดๆจากไร่ด้วย ขอบอกว่าอร่อยเกินบรรยาย เพราะพี่เค้าเดินลงไปเก็บมาจากต้น แล้วก้เอามาหั่นใส่จานให้เราตอนนั้นเลย
นี่ซูมชัดๆอีกรูป จะเห็นว่าหมูเนื้อเยอะมากเลย ไม่มีมันเลยนะขอบอก อร่อยจริงๆ เผลอแว๊บเดียว มันก็เหลือแต่กระดูกตรงกลาง ยังไม่ทันรู้สึกอะไรเลยอ่ะ แบบว่าปกติแบบนี้ที่บ้านเรียกว่า ออเดิร์ฟ เลยสั่งไส้กรอกมาอีก 1 จาน
หลังจากได้ไส้กรอกชิ้นเบ้อเริ่มเข้าไปจึงค่อยรู้สึกว่าอิ่ม (ไม่อิ่มก็คงไม่ได้กลับบ้าน เพราะคงต้องนอนกลิ้งอยู่แถวนั้นแน่ๆ)
นี่คือรูปเคาน์เตอร์ที่พี่เจ้าของร้านเค้าใช้ย่างอาหาร แล้วก็จัดลงจานเสิร์ฟ นั่นไงคุณลูกค้าที่กำลังจะจ่ายตังค์แล้วก็ยกอาหารมาเสิร์ฟให้ตัวเอง เราว่าก็ดีนะ ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้านดี (ถ้าไม่ต้องจ่ายตังค์ จะเหมือนมากกว่านี้ อิอิ) แถมพี่เค้าก็พูดคุยกับลูกค้าอย่างเป็นกันเอง ไม่เคยไปร้านอาหารที่ไหน ที่ทำให้รู้สึกอย่างนี้มาก่อน เชื่อมั้ยว่าพอลูกค้านั่งโต๊ะเต็ม พี่เค้าจะลงไปปิดประตูด้านล่าง ไม่รับแขกเพิ่มด้วย สุดยอดจริงๆ ต่างกับหลายๆร้านที่หวังจะเอาลูกค้าจำนวนมากๆ โดยไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นเลย นอกจากเงิน

ใครที่มีโอกาสไปเที่ยวสวนผึ้งก็อย่าลืมแวะไปนะคะ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน เพราะบรรยากาศดี อาหารอร่อย แถมเจ้าของร้านยังอัธยาศัยดีด้วยค่ะ แต่ขอบอกว่าเปิดเฉพาะวันเสาร์-วันจันทร์ เท่านั้นนะคะ เดี๋ยวไปวันที่ร้านปิดก็จะพลาด ไม่รู้ด้วยนะคะ

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

Universal Studio Singapore

Universal Studio Singapore ตั้งอยู่บนเกาะเซ็นโตซ่า เวลาจะเข้าไปที่เกาะก็จะต้องไปขึ้นรถไฟฟ้า ที่ห้าง vivocity โดยจะต้องขึ้นไปซื้อตั๋วที่ชั้น 3 แต่หากใครที่มีบัตร ezylink แล้วก็ผ่านประตูเข้าไปได้เลยค่า
พอลงรถไฟฟ้าที่สถานีแรก ก็จะมีป้ายบอกว่าไป Universal Studio ก็เดินตามไปเรื่อยๆ หาง่ายมาก เดินไปนิดเดียวก็ถึงเลยค่ะ

เราไปถึงประมาณ 10 โมงครึ่ง เพราะเดี๋ยวนี้เค้าเปิดกัน 10 โมงเช้าแล้ว คนก็ไม่เยอะเท่าไหร่เพราะไปวันศุกร์ เลยไม่ต้องซื้อ express pass เมื่อไปถึงเราก็เข้าไปที่ส่วนของ มาดาร์กัสก้า ก่อนเลย เพราะว่าลูกชายไปเที่ยวสวนสนุกครั้งแรก ต้องเริ่มจากอะไรที่เบาๆก่อนเลยเริ่มกันที่ King Julien's Beach Party -Go-Round ม้าหมุนก็จะเป็นตัวละครในเรื่อง วิ่งวนไปวนมาเหมือนม้าหมุนทั่วไป ไม่มีอะไรพลิกแพลง (นั่นสินะ ก็ม้าหมุนนี่นะ จะให้พลิกแพลงยังไงได้เนอะ)
จากนั้นก็ไปต่อกันที่ อาณาจักร Far Far Away ซึ่งที่นี่ มี Enchanted Airway ซึ่งเป็นรถไฟเหาะมังกร ที่เป็นแฟนของเจ้าดองกี้ ในเรื่อง shrek เสียดายลืมถ่ายรูปมาให้ดูเพราะมัวแต่ตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นรถไฟ เด็กเล็กๆที่สูงกว่า 92 ซม.ขึ้นได้นะคะ ลูกชาย 4 ขวบก็ไปขึ้นมาแล้ว สูงและเร็ว ทำให้ตื่นเต้นพอสมควร แต่ก็ไม่ร้องไห้แฮะ
จากนั้นก็ไปต่อกันที่ Shrek 4D รอไม่นานแค่ ประมาณ 20 นาทีก็ได้เข้าไปดูแล้ว ถ้าเทียบกับที่ ญี่ปุ่นที่ต้องรอ 2 ชั่วโมง ที่นี่ถือว่าเด็กๆมากทีเดียว แม้เรื่องจะเหมือนกัน แต่เป็นภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น ก็เลยได้อรรถรสมากกว่า อย่าลืมเข้าไปดูกันนะคะ พอออกจาก Shrek 4D จะมีชิงช้าสวรรค์เล็กๆให้เด็กเล็กและเด็กโข่งอย่างเราขึ้นได้ด้วย เรียกอะไรจำไม่ได้แล้ว แต่อยู่ในร้านขายของที่ระลึก ลองเข้าไปดูได้นะคะ
พอขึ้นชิงช้าสวรรค์เสร็จแล้ว ก็เดินต่อไปยังส่วนของ The lost world ที่นี่ก็จะมี Water world ซึ่งเป็นโชว์ special effect และสตั้นแมน ก็สนุกดีใครอยากสนุกมากๆให้นั่งแถวด้านหน้าเพราะจะมีคนมาฉีดน้ำใส่ ให้ได้ชุ่มฉ่ำ เข้ากับบรรยากาศ ใครไม่อยากเปียกก็ถอยมาด้านหลังๆนิดนิงก็ดีนะคะ


ต่อมาก็เป็นส่วนของ Jurassic park ก็จะมี Jurassic Park Rapids adventure และ Dino-Soarin แต่ไม่ได้เข้าเพราะคนเยอะ และลูกชายเข้าไม่ได้ เลยไปเล่น Canopy flyer แทน ก็สนุกดี แต่มันเด็กๆมากเลย แถมอันที่เรานั่งดันยกขึ้นลงไม่ได้อีก เลย ไม่ตื่นเต้นเลย ใครจะไปเล่นต้องเล็งดีๆนะคะ ว่าอันไหนที่ยกขึ้นลงไม่ได้บ้าง ไม่งั้นจะพลาดอย่างเราจากนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราก็เข้าไปในโซน Ancient Egypt กันต่อเลย ขอบอกว่าไม่ได้แวะกินข้าวกลางวันกันเลยทีเดียวเพราะแพงจนกินไม่ลง ก่อนเข้ามาใน universal เราแวะซื้อซาลาเปาและทาร์ตไข่ มาจากร้าน Tak Po แล้วก็เอาเข้ามากิน น้ำดื่มเค้ามีน้ำเย็นให้กดดื่มฟรีตลอดงาน เลยเสียเงินไปแค่ 4$ ค่าน้ำหวาน 1 แก้วเท่านั้น อิอิTreasure Hunter เป็นเครื่องเล่นสำหรับเด็ก แต่น่าแปลกมากที่ต้องรอนานถึง 45 นาที แต่เราก็รอ เพราะตั้งใจพาลูกมาเที่ยว จึงต้องยอมเสียสละ (ช่างเป็นแม่ที่ใจดีอะไรอย่างนี้นะเราเนี่ย)
Revenge of the Mummy ที่อยู่ติดกัน รอแค่ 10 นาทีเท่านั้นเอง (คนที่นี่ท่าทางจะใจไม่ค่อยถึงกันแฮะ ส่วนใหญ่ของเล่นที่เสียวๆไม่ค่อยมีคนเล่นกันเท่าไหร่) พอเสร็จจากTreasure Hunter เราก็ไปเข้า Revenge of the Mummy ทันที โดยฝากลูกไว้กับสามีด้านนอก อิอิ ขอบอกว่าสนุกมาก ห้ามพลาด
ต่อจาก Ancient Egypt เราก็ไปต่อกันที่โซน Sci-Fi City ซึ่งโซนนี้มีเครื่องเล่นสุดน่ากลัวซึ่งเราก็ไม่ได้ขึ้นแต่ส่งสามีไปขึ้นแทน สามีบอกว่า ลงมาแล้วเกือบเดินไม่เป็นทีเดียว นั่นคือ Battlestar Galactica ซึ่งไม่ต้องรอเลย เข้าไปก็ได้เล่นทันที (สงสัยไม่มีใครกล้าเล่น) ในโซนนี้มีถ้วยหมุนที่เรียกว่า Accelerator ให้เล่นอีกอย่างนึง ซึ่งเราก็พาลูกเข้าไปเล่นระหว่างรอสามี ก็สนุกดีค่ะ
ตอนนี้ทุกคนก็เริ่มหมดแรงกันแล้วเพราะอากาศที่ร้อนจัด โซน New York และโซน Hollywood ไม่มีเครื่องเล่นอะไร จะมีแต่โชว์ต่างๆ ก็เข้าไปดูกัน เค้าก็ทำดีนะคะ สนุกใช้ได้ ด้านนอกก็มีจุดให้ถ่ายรูปสวยๆเยอะเลยค่ะ แถมยังมีพวกที่แต่งตัวเป็นตัวละคร หรือตัวการ์ตูนออกมาเดินให้ถ่ายรูปเยอะแยะเลยค่ะ เป็นโซนที่ปิดท้ายด้วยความประทับใจจริงๆ อย่าลืมแวะไปเที่ยวกันนะคะ

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หม่อนไหม อร่อยตามคำโฆษณา

ร้านหม่อนไหม ร้านที่หมึกแดงแนะนำให้มาชิม

ร้านหม่อนไหมเป็นชื่อร้่านอาหารที่อยู่ในอ.หัวหิน ไม่ใช่ร้านขายผ้าไหม ถึงแม้ว่าชื่อจะฟังดูคล้ายก็ตามที ร้านนี้อยู่ทางถนนบายพาส หากขับมาจากทางบายพาสก่อนจะถึงตัวเมืองหัวหิน จะมองเห็นป้ายอยู่ทางซ้ายมือ มองเห็นได้ชัด แต่ต้องขับเข้าซอยตามป้ายที่บอกอีกประมาณ 50 เมตรเห็นจะได้ ตัวร้านจะอยู่ทางฝั่งขวามือ หน้าร้านก็จะมีป้ายชื่อร้าน พร้อมกับป้ายหมึกแดงไกด์ติดไว้คู่กัน ให้เห็นเด่นชัด
เมื่อไปถึงก็ไม่รอช้า รีบสั่งอาหารแนะนำมาลิ้มลองกันในทันที นั่นคือ ขาหมูต้มโค้ก (100 บ.) และไข่เจียวกรอบ (ุ60 บ.) ระหว่างนั่งรออาหารก็เหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบๆ ก็คิดในใจว่า ทำไมร้านดูธรรมด๊า ธรรมดา ไม่น่าเป็นร้านดังที่ลุงหมึกแดงแนะนำเลย คิดในใจได้ไม่นาน อาหารที่สั่งก็ยกมาเสิร์ฟ รวดเร็วมากๆ คราวนี้จึงหยุดคิดในใจ ขอหม่ำเติมพลังสมองก่อนดีกว่า
หลังจากกินจนเกลี้ยงไม่มีเหลือ จึงสรุปได้ว่า อย่ามองร้านอาหารจากภายนอก ต้องลองชิมดูจึงจะรู้ว่าอร่อยรึเปล่า สำหรับร้านนี้ก็อร่อยสมคำร่ำลือ โดยเฉพาะขาหมูต้มโค้กที่ขอบอกว่าถูกใจสาวก ข้าวขาหมูอย่างเรามากกกกกกกกก เพราะทั้งนุ่ม เหนียวกำลังดี ไม่ค่อยมีหนังด้วยนะ มีแต่เนื้อกับเอ็น แล้วน้ำจิ้มก็อร่อยด้วยตัดเลี่ยนได้อย่างดีเลย สำหรับไข่เจียวกรอบก็กรอบสมชื่อจริงๆ ไม่อมน้ำมันด้วย อร่อยได้ใจทั้งคู่ ไว้ไปหัวหินครั้งหน้าคงต้องแวะไปชิมอย่างอื่นอีก เพราะไม่แค่อาหารอร่อย ที่จอดรถก็สะดวกสะบายแถมราคาก็ไม่แพงอีกด้วย นะ

ปั่นจักรยานเที่ยว โครงการชั่งหัวมัน

โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ


โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ ตั้งอยู่อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นโครงการพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อพลิกฟื้นผืนดินอันแห้งแล้งให้กลายเป็น พื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งรวมเอาพืชเศรษกิจของจังหวัดเพชรบุรีมารวมกันเอาไว้ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ และทดลองปลูกพืชเศรษฐกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หน่อไม้ฝรั่ง มะนาว ชมพู่ กล้วย มะพร้าว ฯลฯ โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการ และประชาชน ในการสร้างและพัฒนาโครงการนี้ขึ้นมา
โครงการจะอยู่ในการดูแลของทหาร ก่อนเข้าจะต้องแลกบัตร แต่ ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมนะคะ แถมมีจักรยานให้ปั่นได้ฟรี พร้อมบริการร่มกันแดด อีกด้วย เพียงแต่พี่ทหารบอกว่าจะช่วยบริจาคเพื่อบำรุงพื้นที่ก็ได้ตามกำลังศรัทธานะจ๊ะ เมื่อไปถึงเราก็ต้องลงชื่อในสมุดบันทึกบุคคลและยานพาหนะเข้า-ออกกันก่อน เมื่อเรียบร้อยแล้วก็พร้อมลุย โดยเลือกจักรยานคู่ใจหนึ่งคันแล้วก็เริ่มปั่นกันได้เลย
รอบๆโครงการก็จะมีดอกไม้ และแปลงผักสาธิตต่างๆ มีสวนมะนาว แล้วก็มีกังหันลมเพื่อกำเนิดไฟฟ้าขนาดยักษ์ ซึ่งกังหันลมนี้สามารถปั่นไฟฟ้าเพื่อใช้ภายในโครงการได้อย่างเพียงพอ เนื่องจากในโครงการมีลมพัดตลอดเวลา ในวันที่ไปกังหันลมไม่หยุดหมุนเลย จึงทำให้อากาศค่อนข้างดี และไม่ร้อน หลังจากเที่ยวชมจนรอบแล้วก็รู้สึกทึ่ง ในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ที่พระองค์สามารถพลิกฟื้นผืนดินที่แห้งแล้งให้มีความอุุุดมสมบูรณ์เช่นนี้ได้ภายในระยะเวลาประมาณ 1 ปีเท่านั้นเอง
หลังจากชมโครงการชั่งหัวมันจนเต็มอิ่มเราก็ไปแวะกันต่อที่ ศูนย์เรียนรู้ทางการเกษตรเขากระปุก ซึ่งเป็นโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพฯกันต่อ ที่นั่นก็เป็นศูนย์การเรียนรู้การทำเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี แถมมีผักปลอดสารพิษจำหน่ายในราคาถูกแสนถูกอีกด้วย ลุงๆป้าๆที่เป็นชาวบ้านซึ่งเข้าไปทำงานในศูนย์ก็ใจดีน่ารักสุดๆ บอกว่าอยากได้ผักอะไรก็ไปเด็ดสดๆจากต้นเลยก็ได้ วันนั้นเราเลยอุดหนุน คะน้าและถั่วฝักยาวมาอย่างละ 1 กิโล ผักกาดขาว 2 หัวใหญ่ กับแตงโมอ่อนอีก 1 ถุง รวมราคาผักกองโต แค่ 60 บาทเท่านั้น
ตอนจ่ายเงินเรายังตกใจ ถามป้าว่าทำไมถูกจัง ป้าเลยตอบว่า สมเด็จพระเทพฯท่านให้ขายราคาส่ง เพราะอยากให้ประชาชนได้กินของถูกๆที่มีคุณภาพ เล่นเอาปลื้มสุดๆ ดีใจจริงๆที่ได้เกิดเป็นพสกนิกรของท่าน วันนั้นเลยทั้งอิ่มใจและอิ่มท้องไปกับผักหวานกรอบแสนอร่อย ใครมีโอกาสอย่าลืมแวะเข้าไปอุดหนุนกันนะคะ