สวัสดีค่ะทุกๆคน

ฉันชื่อปริญญา ตั้งแต่เด็กๆ ฉันไม่เคยมีเพื่อนผู้หญิงที่ชื่อปริญญาเลยซักคน ในทางกลับกันฉันมักมีเพื่อนผู้ชายชื่อปริญญา เยอะแยะ ทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า เอ..แม่ฉันอยากให้ฉันเกิดเป็นผู้ชายรึเปล่า จึงตั้งชื่อฉันอย่างนี้ แต่ฉันก็ชอบชื่อนี้นะ เพราะว่ามันทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันมีความห้าวหาญไม่แพ้ผู้ชายอกสามศอกทีเดียวเชียว

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

P2N Pizza and Bekery

P2N เป็นร้านพิซซ่าและขายอาหารสไตล์อิตาเลี่ยน รวมถึงอาหารไทยและเบเกอรี่ ร้านตั้งอยู่ซ้ายมือ ริมถ.เพชรเกษม ก่อนจะถึงอ.ทับสะแก ป้ายร้านขนาดใหญ่มองเห็นชัดมากรับรองหาเจอแน่นอนค่ะ


บรรยากาศด้านนอกร้าน แต่งสวนได้อย่างสวยงาม ร่มรื่น และน่านั่งมากๆ ลูกค้าสามารถเลือกนั่งด้านในร้านที่เป็นห้องแอร์หรือจะนั่งด้านนอก ใกล้กับสวนสวยๆก็ได้ แล้วแต่ความชอบ ห้องน้ำสะอาดสุดๆ แถมมีห้องน้ำสำหรับเด็กอีกด้วยน่ารักจริงๆ และที่ขาดไม่ได้คือรสชาติอาหาร ที่อร่อยแถมราคาไม่แพงอีกด้วยล่ะ

สปาเก็ตตี้ปลาเค็ม อร่อยค่ะ โดนลูกชายแย่งกินเกือบหมดจาน

ขนมปังกระเทียม หอมและกรอบอร่อยมากกกก


ยำตะไคร้กุ้งสด รสชาติจัดจ้านกำลังดี ตะไคร้ก็อ่อนเคี้ยวไม่มีเหนียว แถมให้เม็ดมะม่วงเยอะแบบไม่หวงเลย


เค้กน่ากินหลากหลายชนิดที่โชว์ตัวอยู่ในตู้ ช่างน่ากินมากมาย จนต้องสั่งมาคนละชิ้น


วันที่ไปสั่งอาหาร 5 อย่าง พายกรอบ 1 กล่องและเค้ก อีก 3 ชิ้น รวมราคาแค่ 500 กว่าบาทเท่านั้นเอง ขากลับอยากจะแวะกลับไปทานอีก แต่ว่ามาถึงร้านเร็วไป ยังอิ่มจากอาหารเช้าอยู่ เลยจำใจต้องผ่านร้านไปด้วยใจระเหี่ย ตั้งปณิธานไว้ว่า ถ้ามาประจวบฯคราวหน้าจะต้องแวะมาชิมพิซซ่าร้านนี้ให้ได้


เยี่ยม!! ไปเลยครับแม่



พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหว้ากอ Waghor Aquarium

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหว้ากอ ตั้งอยู่ที่ ต.คลองวาฬ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จัดแสดงสัตว์น้ำหลากหลายชนิดทั้งน้ำจืด และน้ำเค็ม


การเดินทางเข้าสู่อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ ทำได้โดยขับถไปตามถนนเพชรเกษม จากสี่แยกประจวบฯ ลงไปทางใต้ อีกประมาณ 16 กิโลเมตร จนถึงหลักกิโลเมตรที่ 335 เลี้ยวซ้ายเข้าสู่บ้านหว้าโทน ขับตามทางเข้ามาอีกประมาณ 3.5 กิโลเมตร และข้ามทางรถไฟเข้าสู่อุทยานฯ หรือ จากสี่แยกประจวบฯ หลักกิโลเมตรที่ 323 เลี้ยวซ้ายเข้าตัวเมืองประจวบฯ ขับรถตามถนนสละชีพ ผ่านกองบิน 5 (อ่าวมะนาว) จนถึงศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ (แยกไฟแดงคลองวาฬ) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่หมู่บ้านคลองวาฬ ขับรถตามทางจนถึงอุทยานฯ (เส้นทางจากกองบิน 5 - อุทยานฯ ประมาณ 10 กม.) ซึ่งระหว่างทางก็จะมีป้ายบอกทางตลอด รับรองว่าไม่หลงแน่นอนค่ะ


พิพิธภัณฑ์เปิดให้บริการทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ โดยเปิดตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. ค่าเข้าชมสำหรับเด็ก 10 บาท(สูงไม่เกิน 120 เซนติเมตร), ผู้ใหญ่ 20 บาท แต่วันที่ไปเค้าคิดแต่ของผู้ใหญ่ เด็กให้เข้าฟรีค่ะ ใจดีจัง
พอเข้าไปส่วนแรก ก็จะมีการจัดแสดงพันธุ์ปลาน้ำจืด ซึางหลายๆชนิดก็ดูคุ้นตา พบเห็นได้ตามตลาด เช่นปลาตะเพียน ปลาสวาย บางชนิดไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ เคยเห็นเฉพาะเนื้อมัน ได้แก่ ป
ลากราย ก็มีจัดแสดงให้ได้ดูกันด้วย
ถัดจากโซนปลาน้ำจืดก็จะมีปลาที่อยู่ตามป่าชายเลน แล้วก็ต่อด้วยปลาน้ำเค็ม ก็มีหน้าคุ้นๆอยู่หลายตัวเลยค่ะทั้งปลาเก๋า ปลาปักเป้า ปลามังกร แล้วก็อีกมากมาย เยอะไม่แพ้ที่ม.บูรพาเลยที่เดียว แต่ไม่มีปลาหมึก แล้วก็ม้าน้ำนะ อื่นๆก็คล้ายกันกับที่ม.บูรพาค่ะ

และที่นี่ยังมีแท็งค์ปลาขนาดใหญ่ ที่มีปลาขนาดยักษ์และฉลามนักล่าแห่งท้องทะเล ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่เด็กๆเป็นอย่างมาก โดยลักษณะของแท้งค์มีทางลาดวนรอบแท็งค์จากชั้นบนลงมาชั้นล่าง ความสูงประมาณตึกสองชั้นได้ คล้ายกับ โอซาก้า อะควอเรี่ยม เลย แต่เล็กกว่าและค่าเข้าชมถูกกว่ามากกกกกกก

นอกจากนี้ยังมีอุโมงค์ปลาให้ได้เดินดูปลาจากด้านล่าง คล้ายกับเดินอยู่ใต้ท้องทะเลทีเดียว แม้ว่าอุโมงค์จะไม่ยาวนัก แต่ก็มีปลาเยอะพอสมควร สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวได้ไม่น้อยเลย


ด้านนอกยังมีอ่างน้ำให้สามารถดูปลาดาว และปลาการ์ตูนได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วยนะคะ ไม่แน่ใจว่าเค้าอนุญาตให้จับได้รึเปล่า แต่คุณลูกชายก็เอามือไปกวนในอ่างเรียบร้อยแล้ว หวังว่าปลาเค้าจะไม่ตายนะคะ

หากใครพอมีเวลาสามารถแวะไปเที่ยวชมกันได้นะคะ ข้อดีของที่นี่คือราคาไม่แพง คนเข้าชมน้อย ไม่ต้องเบียดเสียดยัดเยียดกัน และปลาเค้าก้เยอะ หลากหลายไม่แพ้ที่อื่น (ที่แพงกว่านี้) แถมยังมีจุดอื่นๆภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ให้เข้าชมได้อีกนะคะ เช่นอาคารดาราศาสตร์และอวกาศ ซึ่งจัดแสดงนิทรรศการด้านดาราศาสตร์ให้ได้ชมกันด้วย น่าจะเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เด็กๆน่าจะชอบค่ะ

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

ไส้กรอกเยอรมัน ตอนที่ 2

ไส้กรอกเยอรมัน สวนผึ้ง ในที่สุดก็มีโอกาสได้กลับไป และได้ลิ้มลองรสชาติกันสักที ใครยังไม่เคยไปลิ้มลองก็ขอเชิญตามมาดูลาดเลากันก่อนได้นะคะ
หลังจากที่ปีนบันไดสูงเสียดเขาขึ้นมาถึงด้านบนได้ ก็จะได้พบกับรางวัลอย่างแรก ในฐานะที่มีความพยายามปีนบันไดขึ้นมาได้สำเร็จ นั่นก็คือดอกไม้ โดยเฉพาะกล้วยไม้หลากหลายพันธุ์ ที่แข่งขันกันออกดอกอวดโฉมให้แก่ผู้มาเยือนได้ชม

เมื่อขึ้นไปถึง คราวนี้ก็ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง รีบสั่งอาหารทันที ซึ่งตอนแรกเราจะสั่ง 2 อย่าง คือขาหมูเยอรมัน และไส้กรอก แต่พี่ที่เป็นภรรยาเจ้าของร้านแนะนำว่าให้สั่งเฉพาะขาหมูก่อน เพราะขาใหญ่มาก เป็นห่วงว่าจะกินกันไม่หมด (แปลกดีแฮะ ลูกค้าจะสั่งเพิ่มกลับบอกว่าอย่าเพิ่งสั่ง ) เราก็เลยเชื่อ เลยสั่งไปอย่างเดียวก่อน
รอไม่นานก็ได้อาหารที่สั่ง เจ้าของร้านจะบอกว่าอาหารได้แล้ว แล้วเราก็ต้องไปยกมาเอง พร้อมกับจ่ายเงินให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงยกมาที่โต๊ะ


นี่ไงครับ น่ากินมั้ย ขาหมูจะเสิร์ฟมาพร้อมกับผักนานาชนิด และผักดอง ส่วนจานของเราพิเศษ คือมีมะเขือเทศที่เก็บสดๆจากไร่ด้วย ขอบอกว่าอร่อยเกินบรรยาย เพราะพี่เค้าเดินลงไปเก็บมาจากต้น แล้วก้เอามาหั่นใส่จานให้เราตอนนั้นเลย
นี่ซูมชัดๆอีกรูป จะเห็นว่าหมูเนื้อเยอะมากเลย ไม่มีมันเลยนะขอบอก อร่อยจริงๆ เผลอแว๊บเดียว มันก็เหลือแต่กระดูกตรงกลาง ยังไม่ทันรู้สึกอะไรเลยอ่ะ แบบว่าปกติแบบนี้ที่บ้านเรียกว่า ออเดิร์ฟ เลยสั่งไส้กรอกมาอีก 1 จาน
หลังจากได้ไส้กรอกชิ้นเบ้อเริ่มเข้าไปจึงค่อยรู้สึกว่าอิ่ม (ไม่อิ่มก็คงไม่ได้กลับบ้าน เพราะคงต้องนอนกลิ้งอยู่แถวนั้นแน่ๆ)
นี่คือรูปเคาน์เตอร์ที่พี่เจ้าของร้านเค้าใช้ย่างอาหาร แล้วก็จัดลงจานเสิร์ฟ นั่นไงคุณลูกค้าที่กำลังจะจ่ายตังค์แล้วก็ยกอาหารมาเสิร์ฟให้ตัวเอง เราว่าก็ดีนะ ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้านดี (ถ้าไม่ต้องจ่ายตังค์ จะเหมือนมากกว่านี้ อิอิ) แถมพี่เค้าก็พูดคุยกับลูกค้าอย่างเป็นกันเอง ไม่เคยไปร้านอาหารที่ไหน ที่ทำให้รู้สึกอย่างนี้มาก่อน เชื่อมั้ยว่าพอลูกค้านั่งโต๊ะเต็ม พี่เค้าจะลงไปปิดประตูด้านล่าง ไม่รับแขกเพิ่มด้วย สุดยอดจริงๆ ต่างกับหลายๆร้านที่หวังจะเอาลูกค้าจำนวนมากๆ โดยไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นเลย นอกจากเงิน

ใครที่มีโอกาสไปเที่ยวสวนผึ้งก็อย่าลืมแวะไปนะคะ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน เพราะบรรยากาศดี อาหารอร่อย แถมเจ้าของร้านยังอัธยาศัยดีด้วยค่ะ แต่ขอบอกว่าเปิดเฉพาะวันเสาร์-วันจันทร์ เท่านั้นนะคะ เดี๋ยวไปวันที่ร้านปิดก็จะพลาด ไม่รู้ด้วยนะคะ

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

Universal Studio Singapore

Universal Studio Singapore ตั้งอยู่บนเกาะเซ็นโตซ่า เวลาจะเข้าไปที่เกาะก็จะต้องไปขึ้นรถไฟฟ้า ที่ห้าง vivocity โดยจะต้องขึ้นไปซื้อตั๋วที่ชั้น 3 แต่หากใครที่มีบัตร ezylink แล้วก็ผ่านประตูเข้าไปได้เลยค่า
พอลงรถไฟฟ้าที่สถานีแรก ก็จะมีป้ายบอกว่าไป Universal Studio ก็เดินตามไปเรื่อยๆ หาง่ายมาก เดินไปนิดเดียวก็ถึงเลยค่ะ

เราไปถึงประมาณ 10 โมงครึ่ง เพราะเดี๋ยวนี้เค้าเปิดกัน 10 โมงเช้าแล้ว คนก็ไม่เยอะเท่าไหร่เพราะไปวันศุกร์ เลยไม่ต้องซื้อ express pass เมื่อไปถึงเราก็เข้าไปที่ส่วนของ มาดาร์กัสก้า ก่อนเลย เพราะว่าลูกชายไปเที่ยวสวนสนุกครั้งแรก ต้องเริ่มจากอะไรที่เบาๆก่อนเลยเริ่มกันที่ King Julien's Beach Party -Go-Round ม้าหมุนก็จะเป็นตัวละครในเรื่อง วิ่งวนไปวนมาเหมือนม้าหมุนทั่วไป ไม่มีอะไรพลิกแพลง (นั่นสินะ ก็ม้าหมุนนี่นะ จะให้พลิกแพลงยังไงได้เนอะ)
จากนั้นก็ไปต่อกันที่ อาณาจักร Far Far Away ซึ่งที่นี่ มี Enchanted Airway ซึ่งเป็นรถไฟเหาะมังกร ที่เป็นแฟนของเจ้าดองกี้ ในเรื่อง shrek เสียดายลืมถ่ายรูปมาให้ดูเพราะมัวแต่ตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นรถไฟ เด็กเล็กๆที่สูงกว่า 92 ซม.ขึ้นได้นะคะ ลูกชาย 4 ขวบก็ไปขึ้นมาแล้ว สูงและเร็ว ทำให้ตื่นเต้นพอสมควร แต่ก็ไม่ร้องไห้แฮะ
จากนั้นก็ไปต่อกันที่ Shrek 4D รอไม่นานแค่ ประมาณ 20 นาทีก็ได้เข้าไปดูแล้ว ถ้าเทียบกับที่ ญี่ปุ่นที่ต้องรอ 2 ชั่วโมง ที่นี่ถือว่าเด็กๆมากทีเดียว แม้เรื่องจะเหมือนกัน แต่เป็นภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น ก็เลยได้อรรถรสมากกว่า อย่าลืมเข้าไปดูกันนะคะ พอออกจาก Shrek 4D จะมีชิงช้าสวรรค์เล็กๆให้เด็กเล็กและเด็กโข่งอย่างเราขึ้นได้ด้วย เรียกอะไรจำไม่ได้แล้ว แต่อยู่ในร้านขายของที่ระลึก ลองเข้าไปดูได้นะคะ
พอขึ้นชิงช้าสวรรค์เสร็จแล้ว ก็เดินต่อไปยังส่วนของ The lost world ที่นี่ก็จะมี Water world ซึ่งเป็นโชว์ special effect และสตั้นแมน ก็สนุกดีใครอยากสนุกมากๆให้นั่งแถวด้านหน้าเพราะจะมีคนมาฉีดน้ำใส่ ให้ได้ชุ่มฉ่ำ เข้ากับบรรยากาศ ใครไม่อยากเปียกก็ถอยมาด้านหลังๆนิดนิงก็ดีนะคะ


ต่อมาก็เป็นส่วนของ Jurassic park ก็จะมี Jurassic Park Rapids adventure และ Dino-Soarin แต่ไม่ได้เข้าเพราะคนเยอะ และลูกชายเข้าไม่ได้ เลยไปเล่น Canopy flyer แทน ก็สนุกดี แต่มันเด็กๆมากเลย แถมอันที่เรานั่งดันยกขึ้นลงไม่ได้อีก เลย ไม่ตื่นเต้นเลย ใครจะไปเล่นต้องเล็งดีๆนะคะ ว่าอันไหนที่ยกขึ้นลงไม่ได้บ้าง ไม่งั้นจะพลาดอย่างเราจากนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราก็เข้าไปในโซน Ancient Egypt กันต่อเลย ขอบอกว่าไม่ได้แวะกินข้าวกลางวันกันเลยทีเดียวเพราะแพงจนกินไม่ลง ก่อนเข้ามาใน universal เราแวะซื้อซาลาเปาและทาร์ตไข่ มาจากร้าน Tak Po แล้วก็เอาเข้ามากิน น้ำดื่มเค้ามีน้ำเย็นให้กดดื่มฟรีตลอดงาน เลยเสียเงินไปแค่ 4$ ค่าน้ำหวาน 1 แก้วเท่านั้น อิอิTreasure Hunter เป็นเครื่องเล่นสำหรับเด็ก แต่น่าแปลกมากที่ต้องรอนานถึง 45 นาที แต่เราก็รอ เพราะตั้งใจพาลูกมาเที่ยว จึงต้องยอมเสียสละ (ช่างเป็นแม่ที่ใจดีอะไรอย่างนี้นะเราเนี่ย)
Revenge of the Mummy ที่อยู่ติดกัน รอแค่ 10 นาทีเท่านั้นเอง (คนที่นี่ท่าทางจะใจไม่ค่อยถึงกันแฮะ ส่วนใหญ่ของเล่นที่เสียวๆไม่ค่อยมีคนเล่นกันเท่าไหร่) พอเสร็จจากTreasure Hunter เราก็ไปเข้า Revenge of the Mummy ทันที โดยฝากลูกไว้กับสามีด้านนอก อิอิ ขอบอกว่าสนุกมาก ห้ามพลาด
ต่อจาก Ancient Egypt เราก็ไปต่อกันที่โซน Sci-Fi City ซึ่งโซนนี้มีเครื่องเล่นสุดน่ากลัวซึ่งเราก็ไม่ได้ขึ้นแต่ส่งสามีไปขึ้นแทน สามีบอกว่า ลงมาแล้วเกือบเดินไม่เป็นทีเดียว นั่นคือ Battlestar Galactica ซึ่งไม่ต้องรอเลย เข้าไปก็ได้เล่นทันที (สงสัยไม่มีใครกล้าเล่น) ในโซนนี้มีถ้วยหมุนที่เรียกว่า Accelerator ให้เล่นอีกอย่างนึง ซึ่งเราก็พาลูกเข้าไปเล่นระหว่างรอสามี ก็สนุกดีค่ะ
ตอนนี้ทุกคนก็เริ่มหมดแรงกันแล้วเพราะอากาศที่ร้อนจัด โซน New York และโซน Hollywood ไม่มีเครื่องเล่นอะไร จะมีแต่โชว์ต่างๆ ก็เข้าไปดูกัน เค้าก็ทำดีนะคะ สนุกใช้ได้ ด้านนอกก็มีจุดให้ถ่ายรูปสวยๆเยอะเลยค่ะ แถมยังมีพวกที่แต่งตัวเป็นตัวละคร หรือตัวการ์ตูนออกมาเดินให้ถ่ายรูปเยอะแยะเลยค่ะ เป็นโซนที่ปิดท้ายด้วยความประทับใจจริงๆ อย่าลืมแวะไปเที่ยวกันนะคะ